ข่าวสารนํ้าบาดาล

     วันที่ 20 มิถุนายน 2565 นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล พร้อมด้วย นายเฉลิม กลิ่นนิ่มนวล ที่ปรึกษากรมทรัพยากรน้ำบาดาล นางสาวอลิน  ชินทรารักษ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง และนายศักดิ์ฉลาด ศรีวิชา ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 5 (นครราชสีมา) ติดตามผลการดําเนินงาน โครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อความมั่นคงระดับชุมชน ณ บ้านโกรกเดือนห้า หมู่ที่ 7 อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา โดยมีนายเทวัญ ลิปตพัลลภ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายวัชรพล โตมรศักดิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา นายบรรจบ ม่วงแม้น นายกเทศมนตรีตำบลสุรนารี ผู้นำท้องถิ่นและชาวบ้านในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ

    กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งแก้ไขปัญหาน้ำอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชนในพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งและขาดแคลนน้ำ โดยดำเนินโครงการศึกษาการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อความมั่นคงระดับชุมชน ด้วยการเจาะบ่อน้ำบาดาลขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 นิ้ว จำนวน 2 บ่อ ปริมาณน้ำที่พัฒนาได้รวมไม่น้อยกว่า 20 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบที่มีคุณภาพดีตามเกณฑ์มาตรฐาน สามารถนำไปใช้ผลิตเป็นน้ำประปาบาดาลได้ และก่อสร้างระบบประปาบาดาลขนาดใหญ่ ประกอบด้วย หอถังเหล็กเก็บน้ำชนิดรักษาแรงดันขนาดความจุ 80 ลูกบาศก์เมตร พร้อมทั้งอาคารติดตั้งระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำแบบระบบรีเวอร์สออสโมซิส (RO) มีอัตราการผลิตน้ำ 500 ลิตรต่อชั่วโมง และจุดจ่ายน้ำถาวร 1 จุด เพื่อให้สามารถนำรถบรรทุกน้ำมารับน้ำเพื่อไปแจกจ่ายยังหมู่บ้านที่ขาดแคลน รวมไปถึงเดินท่อกระจายน้ำความยาวรวม 800 เมตร เชื่อมต่อกับระบบประปาเดิม ซึ่งปริมาณน้ำที่ผลิตได้เพียงพอในการบริการน้ำประปาและน้ำดื่มสะอาดให้กับประชากรทั้ง 2 หมู่บ้าน คือบ้านโกรกเดือนห้า หมู่ที่ 7 และบ้านหนองบัวศาลา หมู่ที่ 4

    นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กล่าวว่า น้ำสะอาด ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีพของมนุษย์ เนื่องจากทุกวันเราต้องใช้น้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ต้องซื้อน้ำกินอย่างน้อยวันละ 10 บาท ปีหนึ่งต้องเสียเงินถึง 3,650 บาท ถ้าครอบครัวใดมีสมาชิก 5 คน ในหนึ่งปีต้องเสียเงินซื้อน้ำดื่มถึง 18,250 บาทต่อครอบครัว  แต่ถ้าเรามีน้ำดื่มสะอาดฟรี มีน้ำสะอาดใช้ ทำให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี อบต. หรือเทศบาล สามารถนำน้ำไปแจกจ่ายให้ประชาชนที่ขาดแคลน ทำให้แต่ละครอบครัวสามารถประหยัดเงินได้กว่า 20,000 บาทต่อปี