ศาสตร์พระราชา หลักการทรงงานตามแนวพระราชดำริ
“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”
พระราชปณิธานอันแรงกล้าของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 5 พฤษภาคม 2493 ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” อันเป็นปฐมบรมราชโองการนับตั้งแต่นั้นมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจตลอดการครองราชย์กว่า 7 ทศวรรษ ผ่านโครงการตามแนวพระราชดำริจำนวนมาก อาทิ โครงการตามพระราชประสงค์ โครงการหลวง โครงการในพระบรมราชานุเคราะห์ และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยพระราชดำริอันเป็นหัวใจของการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อต่อสู้กับความยากจน และส่งเสริมให้ประชาชนอยู่ดีกินดีคือ “พออยู่พอกิน สามารถช่วยตัวเองได้” กษัตริย์ผู้สู้รบกับความยากจน “มหาราชผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ท่านไม่เคยไปสู้รบกับใคร สู้รบเรื่องเดียว คือ สู้รบกับความยากจน พระองค์ท่านทรงช่วยเหลือในเรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนผู้ยากไร้และอาศัยอยู่ในชนบทในถิ่นทุรกันดารทั่วภูมิภาค อันทำให้เกิดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ปัจจุบันมีโครงการกว่า 4,596 โครงการ ครอบคลุมเรื่องต่างๆ ส่วนใหญ่เป็น โครงการด้านการเกษตร เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำ ด้านสาธารณสุข โครงการด้านคมนาคม และอื่นๆ เป็นจำนวนมาก ศาสตร์ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” หลักการทรงงานของพระองค์ท่าน เวลาเสด็จไปยังสถานที่ต่างๆ โดยมีหลักการทรงงานแบบ “ เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” กล่าวคือ เวลาพระองค์ จะพระราชทานความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ พระองค์จะทรงศึกษา เพื่อให้เข้าใจว่าจะให้ความช่วยเหลือในเรื่องอะไรได้บ้าง และความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอย่างไร และเมื่อได้ ข้อมูลแล้ว พระองค์ท่านทรงใช้วิธีเข้าถึง โดยการเสด็จไปยังพื้นที่นั้น เพื่อพบกับประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน พระองค์ท่านทรงสอบถามถึง ความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อตรวจสอบข้อมูลที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้เข้าใจถึงสภาพปัญหา และสอบถามถึงภูมิศาสตร์ในพื้นที่นั้น ว่าเป็นอย่างไร เช่น เรื่องน้ำ เรื่องดิน โดยในขั้นตอนนี้ทรงใช้เวลานานพอสมควร เพื่อตรวจสอบจากปากของประชาชนเอง เพื่อเป็นข้อมูลในการให้ความช่วยเหลือ สำหรับศาสตร์ของการพัฒนาตามแนวพระราชดำริในพื้นที่ที่เสด็จฯไปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีข้อมูลของพระองค์เอง เช่นเรื่องน้ำ จะได้ข้อมูลจากจากกรมชลประทาน เรื่องอากาศได้จากกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อนำมาศึกษาและเข้าไปช่วยเหลือประชาชน ผ่านการถวายฎีกาของประชาชน และจากการถวายรายงานของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และเสด็จฯไปเพื่อรับทราบข้อมูลในพื้นที่ ให้เกิดความรอบด้าน เข้าถึงพื้นที่นั้น เพราะประชาชนในพื้นที่ จะสามารถให้ข้อมูลได้ถูกต้องมากที่สุด มากกว่าราชการ เพราะประชาชนเป็นเจ้าของพื้นที่ ถ้าประชาชนไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ได้รับการอนุญาตจากประชาชน ผู้เป็นเจ้าของก็จะไม่สำเร็จ “พระองค์ตรัสว่า โครงการจะสำเร็จได้ประชาชนต้องเข้ามามีส่วนร่วม และรักษาโครงการนั้นไว้ เพื่อไม่ให้จุดประสงค์ผิดไปจากเดิม คือ การทำโครงการให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน” เช่นการพัฒนาแหล่งน้ำ โดยการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ หรือฝ่ายทดน้ำ ต้องมีประชาชนในพื้นที่ก่อสร้างเสียพื้นที่ตรงนั้นไป แต่ประชาชนส่วนรวมก็จะได้ประโยชน์ แต่ทั้งประชาชนที่เสียประโยชน์และได้ประโยชน์ก็ต้องแบ่งปัน ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เกื้อกูลกัน ตลอดการครองราชย์ 70 ปี ทรงทุ่มเท พระวรกายและสติปัญญาเพื่อช่วยเหลือประชาชน เพราะพื้นที่ที่เสด็จฯไปเป็นพื้นที่ไม่สะดวกสบายเลย เพราะพื้นที่ที่เข้าไปเป็นพื้นที่ทุรกันดาร โดนนำแผนทีเข้าไป วิทยุสื่อสารเข้าไปด้วยพระองค์เอง ถนนก็เป็นหลุมเป็นบ่อโยกคลอนทั้งรถทั้งคน ทรงเปิดแหล่งเรียนรู้ทฤษฎีใหม่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยังให้ความสำคัญกับความรู้สมัยใหม่ที่เหมาะสมแก่เกษตรกร นำไปปฏิบัติเองได้ เพื่อเป็นแหล่งความรู้ด้านการเกษตร โดยการตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาเพื่อโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 6 ศูนย์ กระจายอยู่ในภาคต่างๆ ทั้ง 4 ภาค ในการพระราชทานแนวพระราชดำริเกี่ยวกับเรื่อง ทฤษฏีใหม่ พระองค์ท่านจะทำการทดลองก่อน เพื่อให้เห็นจริงว่าถูกต้อง เหมาะสมแล้ว พระองค์ท่านจึงจะเผยแพร่ออกไป เช่นโครงการทดลองปลูกพืช และเลี้ยงปลาในสระว่ายน้ำภายในพระราชวังสวนจิตรลดา และการทดลองทฤษฎีใหม่ครั้งแรกเกิดที่ วัดมงคลชัยพัฒนา ตำบลห้วยบง จังหวัดสระบุรี ในการทดลองทฤษฎีเกษตรผสมผสาน กว่า 4,596 โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้นำมาต่อยอด โดยโครงการ ที่สำเร็จแล้วก็จะรักษาไว้ และการศึกษาการทดลองโครงการใหม่ภายในศูนย์ศึกษาฯ ทั้ง 6 ศูนย์ เพื่อขยายไปยังหมู่บ้านต่างๆรอบศูนย์ศึกษาฯ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวาง ให้นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปได้เข้ามาเรียนรู้ พระองค์ท่านตรัสว่า ให้เป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิตผสานรอยต่อรัฐ-ราษฎร “โครงการพระราชดำริ เป็นโครงการของพระองค์ท่านในการทรงงาน เพื่อเสริมกับงานของรัฐบาล เช่น การตั้งมูลนิธิชัยพัฒนา เพราะเวลารัฐบาลจะทำโครงการต่างๆ จะมีกฎระเบียบมากมาย เช่น การซื้อที่ดิน ก็จะมีขั้นตอนมากมาย แต่มูลนิธิชัยพัฒนา จะใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดซื้อที่ดิน และดำเนินการโครงการต่างๆไปอย่างรวดเร็ว แต่ประสานงานสอดคล้องกับรัฐบาลด้วย เพื่อลดช่องว่างระหว่างรัฐบาลและราษฎรเป็นข้อต่อ เข้าไปช่วยเหลืองานรัฐบาล โดยรัฐบาล ทำหน้าที่สนองงานพระราชดำริ จากแนวพระราชดำริ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” สู่การสืบสานพระราชปณิธาน จากพระราชปณิธานในการบำบัดทุกข์บำรุงสุข มาสู่โครงการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อการพัฒนาพื้นที่ในชนบท เป็นส่วนใหญ่ เนื่องด้วยพระองค์ทรงตระหนักถึงสภาพแวดล้อมและคนส่วนใหญ่ของประเทศไทย ดังพระราชดำรัสที่พระองค์ทรงพระราชทาน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายนพ.ศ.2512 ว่า“การพัฒนาชนบท เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศคือชาวชนบท ต้องพิจารณาปัญหาในส่วนรวมก่อน ทำเมื่อไร...ตอบว่าทำเดี๋ยวนี้ ทำที่ไหน...ตอบว่าอยู่ในชื่อของพัฒนาชนบทแล้ว ทำทำไม...ตอบว่าทำเพื่อมนุษยธรรม เมตตาต่อเพื่อนร่วมชาติ เพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ เพื่อความปลอดภัยและความก้าวหน้าของบ้านเมือง ทำอย่างไร... ตอบว่า เรื่องนี้มีปัญหามาก การให้ความต้องการพื้นฐาน อย่างถนนหรือชลประทานเป็นเบื้องต้น แต่ความเจริญอื่นๆ ไม่ได้ตามเข้าไปทันที่ ย่อมเกิดผลร้ายได้ ต้องจัดการให้ความเจริญทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปพร้อมกัน” ซึ่งพื้นที่ความมั่นคงกับพื้นที่ตามแนวพระราชดำริก็จะทับซ้อนกัน ความเป็นอยู่ของราษฎรเป็นสำคัญ แนวพระราชดำริ ที่ทรงใช้ในการแก้ไขปัญหาจึงมีจุดตั้งต้นที่ “คน” เป็นศูนย์กลาง พระองค์ทรงมุ่งมั่นในการสังเกตการณ์ข้อเท็จจริง ค้นหาข้อมูลหรือหลักฐาน เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล “ภูมิสังคม” ในพื้นที่แต่ละแห่งที่ประกอบด้วยข้อมูลสองส่วน ส่วนแรก คือ ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ ได้แก่สภาพพื้นดิน ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และส่วน ที่สองคือ ข้อมูลด้านสังคม ซึ่งหมายถึง การเข้าใจ “คน” ที่มีความคิดและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันและมีวิถีชีวิตคนละแบบ หลังจากนั้นจึงนำข้อมูลต่างๆที่ได้มาวิเคราะห์ เพื่อเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ และบริบททางเศรษฐกิจการเมือง และสังคมร่วมสมัย จนมาสู่แนวพระราชดำริที่พระราชทานให้กับหน่วยงานต่างๆ เพื่อใช้เป็นโจทย์ตั้งต้นในการระดมความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในหลากสาขา ในการวิเคราะห์แนวทางความเป็นไปได้ต่างๆ การจัดทำต้นแบบการทดลอง และการทดสอบที่พระองค์จะทรงติดตามและประเมินผล เพื่อพระราชทานแนวทางแก้ไขด้วยพระองค์เองเสมอ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์โครงการพัฒนาชนบทที่สอดคล้องกับความเป็นอยู่ และชีวิตของประชาชนในพื้นที่ หลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงยึดหลักผลประโยชน์ของปวงชน และการพัฒนาคนเป็นสำคัญ นับเป็นกระบวนการทำงานแบบบูรณาการ และกระบวนการคิดบนรากฐานของ “การเข้าใจมนุษย์” ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมจากความเข้าใจ ศึกษาผู้คนด้วยการสังเกต (Desing Thinking) ที่ในปัจจุบันเป็นแนวทางที่นานาชาติ ต่างยอมรับ และใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา ตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคลไปจนถึงปัญหาระดับโลก เพื่อเป็นการสืบสานพระราชปณิธาน และน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตามหลักการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ที่ใช้ทรงงานผ่านโครงการพระราชดำริ ทั้ง 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการฝนหลวง โครงการทฤษฎีใหม่ โครงการแกล้งดิน และโครงการกังหันน้ำ ชัยพัฒนา ให้กลายมาเป็นบทเรียน เพื่อให้สาธารณชนรุ่นหลังได้เรียนรู้กระบวนการคิดบนรากฐานของการเข้าใจมนุษย์ การเข้าถึงข้อมูล เพื่อให้การสร้างสรรค์นั้นตอบสนองความต้องการ การพัฒนาด้วยความรู้และภูมิปัญญาที่ไม่จำกัดอยู่แค่มิติใดมิติหนึ่ง ตลอดจนการทดลองและปรับปรุงจนได้ ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน และสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างไม่รู้จบ
หลักการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ
“พระองค์ทรงมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาคน ทรงตรัสว่า “ต้องระเบิดจากข้างใน” นั่นคือ เราต้องสร้างความเข้มแข็งให้คนในชุมชนที่เราเข้าไปพัฒนา ให้มีสภาพพร้อมที่จะรับการพัฒนาเสียก่อน มิใช่การนำความเจริญ หรือบุคคลจากสังคมภายนอกเข้าไปหาชุมชนหมู่บ้านที่ยังไม่ทันได้มีโอกาสเตรียมตัว...ทรงใช้หลัก “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” นั้นคือก่อนจะทำอะไร ต้องมีความเข้าใจเสียก่อน เข้าใจภูมิประเทศ เข้าใจผู้คนในหลากหลายปัญหา ทั้งทางด้านกายภาพ ด้านจารีตประเพณีและวัฒนธรรม เป็นต้น และระหว่างการดำเนินการนั้น จะต้องทำให้ผู้ที่เราจะไปทำงานกับเขา หรือทำงานให้เขานั้น “เข้าใจ” เราด้วย เพราะถ้าเราเข้าใจเขาแต่ฝ่ายเดียว โดยที่เขาไม่เข้าใจเรา ประโยชน์คงจะไม่เกิดตามที่เรามุ่งหวังไว้ “เข้าถึง” ก็เช่นกัน เมื่อรู้ปัญหาแล้ว เข้าใจแล้ว จะต้องทำอย่างไรก็ตามให้เขาอยากเข้าถึงเราด้วย...ดังนั้น จะเห็นว่า เป็นการสื่อสารทั้งทางไปและกลับ ถ้าสามารถทำทั้งสองประการแรกได้สำเร็จ เรื่อง “การพัฒนา” จะลงเอยได้อย่างดี เพราะเมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน ต่างฝ่ายอยากจะเข้าถึงกันแล้ว การพัฒนาจะเป็นการตกลงร่วมกันทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้ให้ และผู้รับ
สานต่อ ที่พ่อทำ เดินทางพ่อ
“จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ” การบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริ
เมื่อน้ำ คือ ปัจจัยสำคัญในการขจัดความทุกข์ร้อนของราษฎร พระอัจฉริยภาพและสายพระเนตร อันยาวไกล ที่สะท้อนผ่านแนวพระราชดำริในการบริหารจัดการน้ำ อย่างครบวงจร ประกอบด้วยการบริหารจัดการน้ำแล้ง น้ำท่วม น้ำเสีย น้ำเค็ม และน้ำกร่อย ให้เหมาะสมตามลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่าง จึงสร้างให้เกิดความสมดุลระหว่างสภาพเศรษฐกิจ สังคมและวิถีของชุมชนในทุกมิติอย่างยั่งยืน ทั้งยังประโยชน์สูงสุดแก่พสกนิกรชาวไทยให้อาศัยอยู่บนแผ่นดินไทยใต้ร่มพระบารมีอย่างร่มเย็น สืบไป...การน้อมนำหลักแนวทางพระราชดำริเรื่องน้ำ ตามศาสตร์พระราชา มาปรับใช้กับภารกิจ ด้านทรัพยากรน้ำบาดาล ได้อย่างไร...กรมทรัพยากรน้ำบาดาล เป็นอีกหน่วยงานหนึ่ง ที่สนองงานตามพระราชดำริในพื้นที่ ขาดแคลนน้ำผิวดิน พื้นที่ห่างไกลแหล่งน้ำ จึงพัฒนาหาแหล่งน้ำบาดาลขึ้นมาสนองงานในรูปแบบน้ำอุปโภค บริโภค และน้ำเพื่อการเพาะปลูก อันจะก่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจที่ดีขึ้น สร้างความมั่นคงของชาติ โดยยึดหลักการทรงงานพระองค์ท่าน น้อมนำพระราชดำรัส
“น้ำคือชีวิต”
“หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั้น ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้”...วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลขึ้นมาใช้สำหรับการอุปโภค บริโภค เพื่อมาใช้ร่วม กับน้ำผิวดิน สำหรับทำการเกษตรกรรม ในพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ...เป้าหมาย สำรวจและเจาะบ่อน้ำบาดาล ก่อสร้างระบบประปา ระบบปรับปรุงคุณภาพ น้ำสะอาด ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ...ตั้งแต่ ปี 2547 - 2559 การดำเนินงานที่ผ่านมา ได้เจาะบ่อน้ำบาดาล ทำระบบประปา ระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำดื่มสะอาด (RO) ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ รวมพื้นที่ดำเนินการ 759 พื้นที่ 1,561 กิจกรรม ประชาชนได้รับประโยชน์ 120,000 คน มีน้ำใช้ประมาณ 14 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ทำให้มีน้ำใช้เพื่อการเพาะปลูก หรือการเกษตรในพื้นที่ 20,000 ไร่ รวมงบประมาณที่ใช้ไปแล้วทั้งสิ้น 575 ล้านบาท ...ปัจจุบันในปีพ.ศ. 2560 มีแผนการดำเนินงาน จำนวน 116 กิจกรรม 75 พื้นที่ 36 จังหวัด งบประมาณที่ตั้งไว้ 55 ล้านบาท โดยจะทำการเจาะบ่อน้ำบาดาล 54 บ่อ ระบบประปาบาดาล 30 ระบบ ระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำดื่มสะอาด (RO) 25 ระบบ และระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ 9 ระบบ ให้กับหลายหน่วยงานในพื้นที่โครงการหลวง , โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง , ศูนย์ศิลปาชีพฟาร์มตัวอย่าง , โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช , โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน , โครงการคืนช้างสู่ป่าธรรมชาติ และสถานที่ตามที่ราษฎร ขอพระราชทานมา...ในอนาคต กรมทรัพยากรน้ำบาดาล มีแผนงานที่จะดำเนินการเพื่อสนองงานตามโครงการพระราชดำริ ในระยะ 20 ปี จำนวน 1,000 พื้นที่ งบประมาณ 1,600 ล้านบาท
... กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ยังมีภารกิจที่สำคัญ คือการจัดหาน้ำอุปโภค บริโภค ให้เพียงพอทุกหมู่บ้าน คือการจัดหาแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่มให้กับระบบประปาบาดาลที่ อบต. เป็นผู้ดูแลโดยมีแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี เพื่อสร้างความมั่นคง ด้านน้ำกินน้ำใช้ให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะพื้นที่ หาน้ำยาก ศักยภาพน้ำบาดาลต่ำ
...กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้จัดหาเทคโนโลยีทันสมัยในการสำรวจแหล่งน้ำระดับลึกมากขึ้น ศึกษาวิจัยทดลองนำวิธีการพัฒนาน้ำบาดาลแบบใหม่ ซึ่งทำให้สามารถผลิตน้ำบาดาลได้ปริมาณมาก…การพัฒนาระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำบาดาล ให้เป็นน้ำดื่มสะอาด ตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก ไว้บริการประชาชน แบบรถโมบายผลิตน้ำดื่มเคลื่อนที่ สามารถเคลื่อนย้ายเดินทาง ไปผลิตน้ำดื่มให้ประชาชนในกรณีพิเศษ หรือช่วงวิกฤตได้...น้ำเพื่อการเกษตร น้ำบาดาลถือว่าเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญยิ่ง สำหรับเกษตรกรที่อยู่นอกเขตชลประทาน หรือในเขตชลประทานแต่บางครั้งเกิดสภาวะแห้งแล้งมาก ต้องการใช้น้ำบาดาลมาเป็นน้ำเสริม...กรมทรัพยากรน้ำบาดาล มีโครงการน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร อยู่ปีละ 2,000 แห่ง เนื่องจากเกษตรกรขาดแคลนน้ำเพาะปลูกพืช ในช่วงฤดูแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง น้ำบาดาลจึงเป็นแหล่งน้ำ ยามยากเพื่อเสริมน้ำผิวดิน ให้แก่เกษตรกร เพื่อให้พืชที่เพาะปลูกไม่ขาดน้ำ แห้งเหี่ยวตาย และน้ำบาดาลยังช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้ด้วย การดำเนินโครงการนี้ ที่สำคัญคือจะต้องให้เกษตรกรรวมตัวกัน เป็นกลุ่มผู้ใช้น้ำ และมีส่วนรวมในการสูบน้ำ และค่าใช้น้ำที่เกิดขึ้น รวมทั้งค่าซ่อมบำรุง นี่คือการพึ่งพาตัวเองด้านน้ำของเกษตรกร โดยมิใช่พึ่งแต่น้ำฝน หรือน้ำชลประทาน อย่างเดียว ...ตามแนวทางพระราชดำริ ที่ให้จัดการป้องกันความเสี่ยงจากภัยคุกคาม และเพื่อเป็นการสืบสานพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในหลวงรัชกาลที่ 9 สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน สมดังคำว่า “น้ำคือชีวิต” ตามศาสตร์พระราชา ตลอดไป
แผนภูมิ
“ ป่าไม้ที่เก็บน้ำที่ดีที่สุด.........ฝายต้นน้ำเพื่อชะลอน้ำ...........หญ้าแฝกป้องกันดินพังทลาย...........อ่างเก็บน้ำบริเวณเชิงเขา..........เขื่อน..........ทฤษฎีใหม่..........แก้มลิง.........คันกั้นน้ำ.......ทางน้ำผ่าน........กังหันน้ำชัยพัฒนา...ป่าชายเลน”