ข่าวสารนํ้าบาดาล

วันพุธที่ 20 ตุลาคม 2564 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่ จากนายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี และแนวทางการบริหารจัดการน้ำผิวดินและน้ำบาดาล จากนายชูชาติ รักจิตร รองอธิบดีกรมชลประทาน และนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ตามลำดับ ณ เขื่อนแม่กลอง สำนักงานชลประทานที่ 13 ต.ม่วงชุม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี โดยรองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายในที่ประชุมให้ทุกส่วนราชการและทุกหน่วยงานร่วมกันบริหารจัดการสถานการณ์น้ำท่วมน้ำแล้งให้แก่ประชาชน

จากนั้น นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้เรียนเชิญพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดวาล์วน้ำโครงการศึกษาสำรวจจุดจ่ายน้ำบาดาลเพื่อประชาชน ตามถนนสายหลัก/สายรอง ทั่วประเทศ ต.ทุ่งกระบ่ำ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจุดที่ทำพิธีเปิดอยู่ห่างจากโครงการฯ กว่า 100 กิโลเมตร ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในนามรัฐบาล ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องประชาชนชาวอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีน้ำดื่มน้ำใช้ที่สะอาด และใช้ได้ตลอดทั้งปี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้ทุกคนรักษาสิ่งก่อสร้าง และระบบประปาบาดาล ให้คงอยู่และใช้งานได้อย่างยั่งยืน

นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เปิดเผยว่า โครงการศึกษาสำรวจจุดจ่ายน้ำบาดาลเพื่อประชาชน ตามถนนสายหลัก/สายรอง ทั่วประเทศ ต.ทุ่งกระบ่ำ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี โดยจัดทำเป็นระบบประปาบาดาล ครอบคลุมพื้นที่กว่า 250 ครัวเรือน ประชาชนมีน้ำดื่มสะอาดฟรี ผ่านระบบ RO (Reverse Osmosis) จุดจ่ายน้ำถาวรที่พร้อมให้บริการได้ตลอดทั้งปี รูปแบบโครงการฯ ประกอบด้วย บ่อน้ำบาดาล 2 บ่อ หอถังเก็บน้ำความจุ 80,000 ลิตร ท่อส่งน้ำในชุมชนรวมระยะทาง 7 กิโลเมตร จุดจ่ายน้ำถาวร และอาคารศูนย์เรียนรู้ด้านน้ำบาดาล ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค และช่วยให้ประชาชนลดภาระค่าใช้จ่ายจากการซื้อน้ำกินน้ำใช้ถึง 20,000 บาท/ครัวเรือน/ปี

อนึ่ง ในปีงบประมาณ 2563-2564 กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้ดำเนินการจัดหาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคบริโภค และน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี รวมทั้งสิ้น 126 แห่ง 227 บ่อ ปริมาณน้ำรวม 10 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี มีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 13,400 ครัวเรือน และพื้นที่ได้รับประโยชน์กว่า 19,700 ไร่