ข่าวสารนํ้าบาดาล

“ในหลวง-พระราชินี” ทรงเปิดโครงการน้ำบาดาลขนาดใหญ่ จ.กาญจนบุรี

  • อัพเดทวันที่ 4 เม.ย. 65
  • อ่าน 3,506
  • เผยแพร่โดย T ADMIN
Email
อัลบั้มภาพ 24 ภาพ

     วันที่ 3 เมษายน 2565 เวลา 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็น 1 ใน 15 โครงการแก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ครอบคลุมพื้นที่ 11 จังหวัด

     เมื่อเสด็จฯ ถึงพื้นที่โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากร   น้ำบาดาล  และนายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ข้าราชการ และประชาชน เฝ้าฯ รับเสด็จ อย่างคับคั่ง

     จากนั้นเสด็จฯ เข้าพลับพลาพิธี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการทองทิศบูชาพระพุทธนวราชบพิตร ทรงกราบ ประทับพระราชอาสน์ ทรงศีล ทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวายสูจิบัตร หนังสือและเหรียญที่ระลึกพระนารายณ์ทรงบัลลังก์พญาอนันตนาคราช

     นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลรายงานความเป็นมาและวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมทั้งขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ทรงประกอบพิธีเปิดโครงการ
     พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออกจากพลับพลาพิธีไปยังแท่นพิธี ทรงกดปุ่มไฟฟ้าเปิดแพรคลุมป้ายโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี มีน้ำบาดาลจากบ่อน้ำบาดาล 8 บ่อ ไหลลงสู่ถังความจุ 10,000 ลิตร เต็มภายในเวลา 1 นาที 25 วินาที

     จากนั้นเสด็จเข้าพลับพลาพิธี ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ ประทับพระราชอาสน์ ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กราบบังคมทูลเบิกผู้เข้ารับพระราชทานโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ผู้ให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการ จำนวน 17 ราย ตามลำดับ

     พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ไปทรงกราบที่หน้าเครื่องนมัสการ ทรงลาพระสงฆ์ เสด็จออกจากพลับพลาพิธีไปยังเต็นท์นิทรรศการ ทอดพระเนตรนิทรรศการ ประกอบด้วย
     1) วีดิทัศน์ “น้ำบาดาล...น้ำเพื่อชีวิตแห่งอนาคต” นำเสนอความเป็นมาของโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 15 โครงการ ครอบคลุม 11 จังหวัด และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากโครงการน้ำบาดาลขนาดใหญ่ ณ ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี

     2) วัฏจักรอุทกวิทยาของประเทศไทย นำเสนอการหมุนเวียนของน้ำบนโลกตามธรรมชาติ มีกระบวนการต่างๆ อันได้แก่ การเกิดน้ำจากฟ้า การซึมของน้ำลงดิน การระเหย และการคายน้ำของพืช และการเกิดน้ำท่า รวมถึงการกักเก็บของน้ำบาดาล กระบวนการเหล่านี้ประกอบกันเป็น “วัฏจักรของอุทกวิทยา”    น้ำจะหมุนเวียนอยู่ในวัฏจักร โดยปรากฏอยู่ในรูปแบบและสถานะต่างๆ กัน ซึ่งวัฏจักรของอุทกวิทยาไม่มีจุดเริ่มต้น และไม่มีจุดสิ้นสุด รวมถึงนำเสนอข้อมูลปริมาณน้ำบาดาลของประเทศไทยที่มีปริมาณกักเก็บมากถึง 1.13 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร

     3) โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ 15 โครงการ นำเสนอจุดที่ตั้งของโครงการฯ ทั้ง 15 โครงการ ครอบคลุม 11 จังหวัด บนแผนที่ประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ขอนแก่น กาฬสินธุ์ นครพนม ศรีสะเกษ ฉะเชิงเทรา กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี และพัทลุง พร้อมระบุจำนวนผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของประชาชนในแต่ละปีแต่ละพื้นที่

      4) การพัฒนาระบบน้ำบาดาลขนาดใหญ่ ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี นำเสนอความเป็นมาของโครงการฯ นับตั้งแต่การสำรวจพื้นที่ การเจาะและพัฒนาน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ประโยชน์ การวิเคราะห์คุณภาพน้ำและตรวจหาอายุน้ำบาดาล การออกแบบและก่อสร้างระบบกระจายน้ำ รวมถึงการบริหารจัดการภายหลังการส่งมอบโครงการฯ ให้ท้องถิ่นดูแลรับผิดชอบ

     5) แบบจำลองทางกายภาพของชั้นน้ำบาดาลบริเวณพื้นที่โครงการ เป็นการจำลองสภาพชั้น    น้ำบาดาลจริงของพื้นที่โครงการ ซึ่งประกอบด้วยชั้นน้ำบาดาลจำนวน 4 ชั้น โดยปกติชาวบ้านจะเจาะและใช้น้ำบาดาลในชั้นที่ 1 ความลึกไม่เกิน 50 เมตร ในการอุปโภคบริโภค ซึ่งกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้ค้นพบชั้นน้ำบาดาลใหม่ๆ ในพื้นที่ อีก 3 ชั้น มีความลึกตั้งแต่ 50 ถึง 90 เมตร (ชั้นที่ 2) ความลึก 90 ถึง 140 เมตร (ชั้นที่ 3) และความลึก 140 ถึง 200 เมตร (ชั้นที่ 4) ซึ่งชั้นน้ำบาดาลใหม่ที่ถูกค้นพบ มีปริมาณน้ำกักเก็บจำนวนมากและมีคุณภาพดี น้ำบาดาลมีอายุ 7,530 ปี อีกทั้งมีคุณสมบัติเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ ดังนั้น กรมทรัพยากร น้ำบาดาลจึงได้เจาะบ่อผลิต เพื่อสูบน้ำบาดาลขึ้นมาให้ประชาชนใช้ในการอุปโภคบริโภค และการเกษตร    โดยไม่ใช้น้ำในชั้นที่ 1 เพื่อป้องกันการแย่งน้ำจากบ่อเดิมของชาวบ้าน

     6) แบบจำลองโครงการน้ำบาดาลขนาดใหญ่ เป็นการจำลองรูปแบบของโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี รวมถึงเส้นทางการวางท่อกระจายน้ำของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล องค์การบริหารส่วนตำบลหนองฝ้าย และจังหวัดกาญจนบุรี รวมระยะท่อส่งน้ำทั้งโครงการ ๒๓.๓ กิโลเมตร

     7) เทคโนโลยีการสำรวจและเจาะน้ำบาดาล นำเสนอข้อมูลการสำรวจอุทกธรณีวิทยาเพื่อค้นหาแหล่งน้ำบาดาลใหม่ การใช้เครื่องมือวัดค่าความต้านทานไฟฟ้าจำเพาะ เพื่อหาชั้นน้ำใหม่ในรอยแตก การใช้เครื่องมือหยั่งธรณีหลุมเจาะ เพื่อตรวจสอบหาชั้นน้ำบาดาลจืดและเค็ม และการใช้เครื่องมือสูบทดสอบปริมาณน้ำบาดาล เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำบาดาลที่สูบขึ้นมาใช้ประโยชน์จะไม่มีวันหมด โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้ค้นพบแหล่งน้ำบาดาลใหม่ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้แก่ พื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ปริมาณน้ำกักเก็บรวม 5,385 ล้านลูกบาศก์เมตร มีการเจาะสำรวจน้ำบาดาลระดับลึก 1,000 เมตร แห่งแรกของประเทศไทยที่จังหวัดขอนแก่น และการค้นพบแหล่งน้ำบาดาลใหม่ในพื้นที่อำเภอห้วยกระเจา ปริมาณน้ำกักเก็บรวม 250 ล้านลูกบาศก์เมตร และที่อำเภอเลาขวัญ ปริมาณน้ำกักเก็บรวม 500 ล้านลูกบาศก์เมตร

     8) วิวัฒนาการพัฒนาระบบน้ำบาดาล นำเสนอความเป็นมาของการเจาะและนำน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ประโยชน์ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2450 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีการเจาะบ่อน้ำบาดาลโดยใช้ไม้ไผ่จากประเทศจีน เป็นบ่อแรกของประเทศไทย ณ โรงพยาบาลเทียนหัว ย่านเยาวราช กรุงเทพมหานคร ต่อมาพัฒนามาเป็นบ่อน้ำบาดาลที่ติดตั้งเครื่องสูบน้ำแบบมือโยก บ่อน้ำบาดาลที่ติดตั้งเครื่องสูบน้ำไฟฟ้าแบบจุ่มใต้น้ำและเริ่มมีการจัดทำระบบประปาบาดาล การนำน้ำบาดาลมาช่วยเหลือประชาชน   เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค การแก้ไขปัญหาภัยแล้งโดยนำน้ำบาดาลมาเพื่อการเกษตรและเกษตรแปลงใหญ่ จนกระทั่งถึงปัจจุบันเป็นการพัฒนาและส่งน้ำบาดาลระยะไกลขนาดใหญ่

     9) งานอนุรักษ์และฟื้นฟูน้ำบาดาล นำเสนอข้อมูลการควบคุมการทรุดตัวของแผ่นดินในเขตวิกฤตการณ์น้ำบาดาล (กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลอีก 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม) ซึ่งรัฐบาลได้ออกมาตรการเพื่อควบคุม กำกับ และดูแลการใช้น้ำบาดาล โดยอาศัยพระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ. 2520 ประกาศเขตวิกฤตการณ์น้ำบาดาล และควบคุมการใช้น้ำบาดาลอยู่ที่วันละไม่เกิน 1.25 ล้านลูกบาศก์เมตร มีนโยบายเก็บค่าใช้น้ำบาดาลและค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล ส่งผลให้การทรุดตัวของแผ่นดินลดลง โดยส่วนใหญ่มีอัตราการทรุดตัวปีละน้อยกว่า 1 เซนติเมตร และมีระบบติดตาม ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการบริหารจัดการแหล่งน้ำบาดาลอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนให้มีโครงการเติมน้ำใต้ดิน เพื่อฟื้นฟูระดับน้ำและปริมาณน้ำใต้ดิน ซึ่งหากมีการเติมน้ำใต้ดินเป็นจำนวนมากและต่อเนื่อง จะทำให้ระดับน้ำบาดาลคืนสู่สมดุลและยั่งยืนต่อไป

     10) น้ำบาดาลกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย นำเสนอข้อมูลของการนำน้ำบาดาลไปใช้เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตทั้งทางตรงและทางอ้อมของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในประเทศไทย เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร เครื่องดื่ม สิ่งทอ กระดาษและปูนซีเมนต์ ที่พักแรมและอสังหาริมทรัพย์

     เวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ไปยังบริเวณทรงปลูกต้นไม้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปลูกต้นรวงผึ้ง จำนวน 1 ต้น และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงปลูกต้นรวงผึ้ง จำนวน 1 ต้น จากนั้นเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรแปลงเกษตรสาธิต โดยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กราบบังคมทูลถวายรายงานว่า แปลงเกษตรสาธิตแห่งนี้ใช้น้ำบาดาลเป็นแหล่งน้ำหลักในการเพาะปลูกพืช มีพื้นที่รวม ๑๐ แปลง ๖๐ ไร่ ประกอบด้วย     ทุ่งดอกดาวเรือง 10 ไร่ ซึ่งช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรกว่า 64,000 บาทต่อไร่ต่อปี แปลงมันสำปะหลัง 18 ไร่ หญ้าเนเปียร์ 13 ไร่ เผือก 7 ไร่ อ้อย 6 ไร่ และกลุ่มแปลงสาธิตพืชเศรษฐกิจ ได้แก่ พริกซุปเปอร์ฮอท พริกสีดา มะเขือเทศราชินี มะเขือเปราะ ตะไคร้ และฟ้าทะลายโจร เป็นต้น 

     ทอดพระเนตรกระบือตามโครงการอนุรักษ์และพัฒนากระบือไทย โดยนายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโตอธิบดีกรมปศุสัตว์ กราบบังคมทูลถวายรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมกรมปศุสัตว์ ร่วมกับจิตอาสา 904 ได้เข้าร่วมพิธีรับมอบกระบือพระราชทาน จำนวน 2 ตัว ได้แก่ ศิริ และมงคล เป็นกระบือเพศเมีย ต่อมาได้รับมอบกระบือพระราชทานเพิ่มอีก 11 ตัว และส่งมอบให้แก่กลุ่มอนุรักษ์และพัฒนา กระบือไทยเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อพัฒนาพันธุ์กระบือไทยให้กลับมามีขนาดใหญ่ดังเดิม และต่อยอด การเลี้ยงกระบือสู่การทำเกษตรทฤษฎีใหม่

     ทอดพระเนตรอาคารบ้านน้ำดื่มที่ผลิตจากน้ำบาดาลเพื่อให้บริการฟรีแก่ประชาชน โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กราบบังคมทูลถวายรายงานว่า เมื่อปี 2562 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้แนวคิดมาจากแบบจำลองต้นแบบ ตู้บริการน้ำดื่มฟรีที่ตลาดโบโร่ (Borough Market) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จึงพัฒนามาเป็น “จุดบริการน้ำดื่มฟรี” แห่งแรกที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ซึ่งปัจจุบันมีการก่อสร้างจุดบริการน้ำดื่มฟรีกระจายอยู่ทั่วประเทศรวม 512 แห่ง ประชาชนได้รับประโยชน์กว่า 3 ล้านคน ปริมาณน้ำที่ให้บริการประชาชนกว่า 2 พันล้านลิตรต่อปี สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปีจากการที่มีบริการน้ำดื่มฟรี ทั้งนี้ ในอนาคตภายในปี 2570 กรมทรัพยากรน้ำบาดาลมีเป้าหมายจะดำเนินการติดตั้งบ้านน้ำดื่มอีกกว่า 2,500 แห่งทั่วประเทศ จากนั้นเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จ แล้วประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จฯ กลับ

     ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรับโครงการจัดหา    น้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้ง เป็น “โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ต้นแบบ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ราษฎรจากภาวะวิกฤติภัยแล้ง จำนวน  15 แห่ง กระจายอยู่ทั่วทุก “ภูมิสังคม” ของประเทศไทย ในพื้นที่ 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ขอนแก่น กาฬสินธุ์ นครพนม ศรีสะเกษ ฉะเชิงเทรา กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี และพัทลุง เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จทุกพื้นที่ จะมีประชาชนได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 37,600 ครัวเรือน หรือ 143,000 คน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 557,000 ไร่ ปริมาณน้ำรวม 11.1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ช่วยประหยัดรายจ่ายให้ประชาชนกว่า 500 ล้านบาทต่อปี จากการได้มี น้ำดื่มสะอาดบริการฟรี

     สำหรับโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่บ้านปากชัดหนองบัว หมู่ที่ 2 ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี  เป็นพื้นที่ต้นแบบของโครงการ ซึ่งเดิมประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเป็นเวลาหลายสิบปี และเป็น 1 ใน 5 อำเภอของจังหวัดกาญจนบุรี ได้แก่ อำเภอ เลาขวัญ ห้วยกระเจา บ่อพลอย หนองปรือ และพนมทวน ที่ได้ชื่อว่าเป็น “อีสานภาคกลาง” เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบเชิงเขา และเป็นพื้นที่เงาฝน ไม่มีระบบชลประทาน ประชาชนในตำบลหนองฝ้ายต้องจ้างรถบรรทุกน้ำสำหรับใช้อุปโภคบริโภคทำให้มีค่าใช้จ่ายมากกว่า 5 ล้านบาทต่อเดือน

     รูปแบบโครงการ ประกอบด้วย บ่อน้ำบาดาล จำนวน 8 บ่อ ความลึกเฉลี่ย 200 เมตร ถังเหล็กเก็บน้ำความจุ 2,000 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 2 ถัง หอถังเหล็กเก็บน้ำชนิดรักษาแรงดันความจุ 300 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 2 ถัง พร้อมทั้งระบบท่อกระจายน้ำ

     ปัจจุบันโครงการดำเนินการแล้วเสร็จตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช 2564 และส่งมอบให้ท้องถิ่นและจังหวัดกาญจนบุรีเพื่อบริหารจัดการระบบต่อไป โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้ก่อสร้างระบบประปาและวางท่อกระจายน้ำในพื้นที่รอบโครงการ รวมระยะทาง 5.4 กิโลเมตร องค์การบริหารส่วนตำบลหนองฝ้าย เชื่อมต่อระบบประปาที่มีอยู่เดิมเพิ่มอีก 7.8 กิโลเมตร และจังหวัดกาญจนบุรีดำเนินการวางระยะท่อเพิ่มเติม 10.1 กิโลเมตร ให้ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองฝ้ายทั้งหมด รวมระยะท่อส่งน้ำทั้งโครงการ 23.3 กิโลเมตร

     ในอนาคตจังหวัดกาญจนบุรีมีแผนจะขยายระบบกระจายน้ำเพื่อให้ครอบคลุมทั้งอำเภอเลาขวัญ ประชาชนจะได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 11,600 ครัวเรือน หรือ 58,000 คน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 300,000 ไร่ ปริมาณน้ำรวม 2.3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เพื่อให้ประชาชนได้ใช้น้ำบาดาล เป็น “น้ำเพื่อชีวิตแห่งอนาคต” นำมาซึ่งความสุขของประชาชน และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

ที่มาวิดีโอ : CH3 https://ch3plus.com/news/news/category/285404
รายละเอียดเกี่ยวกับงานรวมทั้งประมวลภาพทั้งหมด : http://www.dgr.go.th/th/newsAll/347