ในปัจจุบันนี้มีความสนใจในเรื่องน้ำแร่ชนิดต่างๆที่มีผลต่อสุขภาพ โดยเฉพาะ “น้ำแร่พลังแม่เหล็ก” แต่เนื่องจากข้อมูลจากการศึกษาเท่าที่รวบรวมได้ยังมีน้อยและไม่ชัดเจน จึงขอกล่าวถึงน้ำแร่ที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งอาจมีหลายยี่ห้อหลายรูปแบบ แต่ก่อนที่คุณจะเลือกซื้อมาบริโภคนั้น อยากให้ได้รับข้อมูลที่น่าจะมีประโยชน์ต่อการเลือกบริโภคน้ำแร่ โดยจะนำเสนอประเภทของน้ำแร่ที่แยกตามผลที่มีต่อร่างกายและฤทธิ์ในการบำบัดโรคเป็นเกณฑ์ในการจัดประเภทน้ำแร่
ชนิดของน้ำแร่ |
|
น้ำแร่ไบคาร์บอเนต |
มีปริมาณไบคาร์บอเนต> 600 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยปรับให้สารคัดหลั่งที่มีฤทธิ์เป็นกรดกลายเป็นกลาง, กระตุ้นการเคลื่อนของอาหารจากกระเพาะไปยังลำไส้เล็กให้เร็วขึ้น, กระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนในกระเพาะอาหาร, ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำและเกลือแร่ให้แก่ร่างกาย จึงควรดื่มน้ำแร่นี้ 500-700 มิลลิลิตร ก่อนออกกำลังกายหรือทำงานที่ต้องเสียเหงื่อ เนื่องจากจะช่วยในการลดภาวะเลือดเป็นกรด |
ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Volvic, Fiji, Snowy mountain เป็นต้น |
|
น้ำแร่ซัลเฟต |
มีปริมาณ ซัลเฟต > 200 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ โดยเฉพาะในคนที่ท้องผูกเรื้อรัง เนื่องจาก น้ำแร่ซัลเฟต มีผลแรงดันออสโมติคและ ช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนซีซีเค (CCK) เนื่องจากซัลเฟตมีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ |
ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Pi water เป็นต้น |
|
น้ำแร่ซัลเฟต-ไบคาร์บอเนต |
ใช้รักษาภาวะที่การทำงานของถุงน้ำดีผิดปกติ, นิ่วในถุงน้ำดี, อาการหลังผ่าตัดถุงน้ำดี |
น้ำแร่ซัลเฟอร์, เกลือ-ไอโอดีน, เกลือ-โบรมีน-ไอโอดีน |
มักใช้กับอวัยวะภายนอกร่างกาย เช่น การอาบ หรืออาจใช้ สูดพ่นทางทางเดินหายใจบ้าง บรรเทาอาการอักเสบของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง และบรรเทาอาการทางผิวหนังบางชนิด |
น้ำแร่ซัลเฟอร์และไบคาร์บอเนต |
ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน โดยจะลดระดับน้ำตาล อาการกระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย และช่วยลดความต้องการอินซูลิน นอกจากนี้น้ำแร่ไบคาร์บอเนต ยังช่วยลดภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวานได้ |
น้ำแร่คลอรีน (น้ำเกลือ) |
มีปริมาณคลอไรด์ > 200 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของลำไส้และการหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับน้ำและอิเล็กโตรไลท์, กระตุ้นการหลั่งน้ำดี, บรรเทาอาการท้องผูก |
น้ำแร่แคลเซียม |
มีปริมาณแคลเซียม > 150 มิลลิกรัมต่อลิตร น้ำแร่ที่มีแคลเซียมในปริมณมากเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีความต้องการแคลเซียมในปริมาณมากกว่าคนปกติ เช่น เด็ก หญิงตั้งครรภ์ สตรีวัยหมดประจำเดือน ผู้สูงอายุ และจากการวิจัยไม่นานมานี้ พบว่า แคลเซียมอาจช่วยป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย |
ตัวอย่างของน้ำแร่ชนิดนี้ได้แก่ น้ำแร่ยี่ห้อ Evian, Badoit เป็นต้น |
|
น้ำแร่แมกนีเซียม |
มีปริมาณแมกนีเซียม > 50 มิลลิกรัมต่อลิตร การมีแมกนีเซียมในน้ำแร่สูงจะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดี เนื่องจากมีผลในการทำให้ Oddi sphincter คลายตัว |
น้ำแร่ฟลูออเรด (Fluorate water) |
มีปริมาณฟลูออไรด์ > 1 มิลลิกรัมต่อลิตร |
น้ำแร่เหล็ก (Ferrous water) |
มีปริมาณเหล็กเฟอรัส > 1 มิลลิกรัมต่อลิตร ช่วยบรรเทาอาการในภาวะโลหิตจากที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก และใช้ในภาวะไฮโปธัยรอยด์ |
น้ำแร่โซเดียม (Sodium water) |
ปริมาณ โซเดียม > 200 มิลลิกรัมต่อลิตร |
น้ำแร่เกลือต่ำ (Low-salt water) |
ปริมาณ โซเดียม < 20 มิลลิกรัมต่อลิตร |
น้ำแร่คาร์บอร์นิค |
มักใช้ในการอาบ และบรรเทาอาการของหลอดเลือดส่วนปลาย |
วิธีดื่มน้ำแร่ ควรทำอย่างไร?
วิธีดื่มน้ำแร่แบ่งได้ 2 วิธี คือ
สำหรับนักกีฬา ควรดื่มน้ำแร่ที่มีปริมาณเกลือแร่น้อยถึงปานกลาง ตลอด 2 ชั่วโมงก่อนการแข่งขัน โดยดื่ม 100-150 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที และดื่ม 400-500 มิลลิลิตร 15 นาทีสุดท้ายของชั่วโมงที่ 2 หลังการอบอุ่นร่างกาย ระหว่างการแข่งขัน ควรดื่ม 200-250 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที โดยปริมาณของเหลวที่ดื่มเข้าร่างกายหลังแข่งขันหรือเล่นกีฬานั้น ควรมีปริมาณร้อยละ 150 ของน้ำหนักตัว ซึ่งปริมาณของเหลวที่บริโภคโดยทั่วไป คือ 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
ใครไม่ควรดื่มน้ำแร่?
ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ประโยชน์จากน้ำแร่ หากดื่มไปโดยไม่ระวังอาจเป็นผลเสียต่อร่างกายได้ แล้วใครกัน...ที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่?
ชนิดของน้ำแร่ |
ผู้ที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่ |
น้ำแร่ |
ผู้ที่บวมน้ำ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่มีการทำงานของหัวใจไม่ดี |
น้ำแร่ที่มีปริมาณโซเดียมสูง |
ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง |
น้ำแร่เกลือโซเดียมคลอไรด์ (Sodium chloride waters) |
ผู้ที่มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารปริมาณมาก แผลในกระเพาะอาหารและความดันโลหิตสูง |
น้ำแร่ซัลเฟอร์ (Sulfurous waters) |
ผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบทางเดินหายใจที่มีภาวะหลอดลมหดเกร็ง |
น้ำแร่ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate waters) |
ผู้ป่วยที่มีภาวะ gastric hypochilia |
น้ำแร่ซัลเฟต (Sulfate waters) |
ผู้ป่วยที่มีโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารและมีแผลในทางเดินอาหาร |
Reference
Petraccia L, Liberati G, Masciullo SG, Grassi M, Fraioli A. Water, mineral water and health. Elsevier. 2006; 25:377-85.
ที่มา : https://pharmacy.mahidol.ac.th/